อุตสาหกรรม Wellness กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และความเชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จากข้อมูลของ Global Wellness Institute ตลาด Wellness Tourism มีมูลค่าถึง 8.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
การแข่งขันที่สูงมากขึ้นในตลาด Wellness ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีกลยุทธ์ที่แตกต่างเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญที่สุด จะสร้างความแตกต่างและยั่งยืนทางธุรกิจได้อย่างไร? การเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยกำหนดทิศทางของธุรกิจ Wellness ให้เติบโตและยั่งยืนได้
บทความนี้ จะเสนอเคล็ดลับสร้างธุรกิจ Wellness ให้เติบโตและยั่งยืน เพื่อให้ผู้ประกอบการ สามารถสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ต่อยอดโอกาส และสร้างความภักดีจากลูกค้าได้ในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องในระยะยาว โดยสรุปไว้ให้ 5 กลยุทธ์สำคัญ ดังนี้
การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ
การเลือกพันธมิตรที่เหมาะสม
ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยอาศัยจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเพื่อเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้สามารถส่งมอบบริการที่มีคุณค่าและครอบคลุมมากขึ้น
ค่านิยมและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกัน
ตลอดจนแนวทางการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายที่สอดคล้องกันจะช่วยให้ความร่วมมือเป็นไปอย่างราบรื่น เกิดความไว้วางใจ และสามารถพัฒนาโครงการร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง: Samui Wellness Retreats ร่วมมือกับ Kamalaya Wellness Sanctuary โดยเน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ชื่อเสียงและคุณภาพของบริการ
จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยยกระดับคุณภาพของแบรนด์คุณเ
ตัวอย่าง: RAKxa Wellness & Medical Retreat จับมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพื่อนำเสนอโปรแกรมสุขภาพแบบครบวงจร
การเสริมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
พันธมิตรที่มีฐานลูกค้าคล้ายคลึงกันแต่ให้บริการที่แตกต่างกัน จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้ครบวงจร และเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้า
ตัวอย่าง: COMO Hotels and Resorts จับมือกับ Local Alike พัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่มอบประสบการณ์ท้องถิ่นแบบลึกซึ้ง ตอบโจทย์นักเดินทางที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรมและการดูแลสุขภาพในแบบองค์รวม
ตัวอย่าง: Six Senses Hotels and Resorts ร่วมมือกับ Local Alike เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
รูปแบบความร่วมมือที่ได้ผล
โปรแกรมลูกค้าเก่าแนะนำลูกค้าใหม่ (Referral Programs)
ตัวอย่าง: Healing Holidays ในสหราชอาณาจักรร่วมกับ Chiva-Som Hua Hin มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่จองผ่านช่องทางเฉพาะ
ตัวอย่าง: Samui Wellness Retreats และ Absolute Sanctuary จับมือสร้างเครือข่ายแนะนำลูกค้าให้กันและกัน โดยที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการที่หลากหลายภายใต้แบรนด์พันธมิตร
แพ็คเกจบริการร่วม (Joint Packages)
ตัวอย่าง: Museflower Retreat & Spa ในเชียงราย จับมือกับร้านอาหารสุขภาพและศูนย์โยคะท้องถิ่น สร้างโปรแกรมดีท็อกซ์แบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งอาหาร การออกกำลังกาย และการบำบัดร่างกาย
กิจกรรมการตลาดร่วม (Collaborative Events)
การจัดเวิร์กช็อป การออกบูธ หรือการประชุมสัมมนาด้านสุขภาพร่วมกันช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และสร้างฐานลูกค้าใหม่ ตัวอย่าง: Absolute Sanctuary และ Thanyapura Health & Sports Resort จัด “Wellness Road Show” เพื่อประชาสัมพันธ์และขยายตลาดสู่กลุ่มลูกค้าต่างประเทศ
การพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้เหนือระดับ
การออกแบบ Customer Journey ที่ไร้รอยต่อ
ตัวอย่าง: Kamalaya Koh Samui จัดระบบขนส่งร่วมกับบริษัทรถเช่าและเรือส่วนตัว เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้า
การพัฒนาโปรแกรมสุขภาพแบบองค์รวม
ตัวอย่าง: The Barai Spa and Residential Suites ร่วมกับโรงพยาบาลกรุงเทพ พัฒนาโปรแกรม “Comprehensive Health Optimization” ที่รวมศาสตร์แพทย์ทางเลือกและโภชนาการ
การใช้เทคโนโลยีในการให้บริการ
ตัวอย่าง: Anantara Hotels ใช้แอปพลิเคชัน Health Connect ให้ลูกค้าจองบริการสุขภาพและรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญผ่านแพลตฟอร์มเดียว
การใช้โมเดลธุรกิจ Win-Win เพื่อสร้างการเติบโต
การกำหนดผลประโยชน์ร่วมกัน
ตัวอย่าง: COMO Hotels and Resorts ใช้วิธี Value Chain Analysis เพื่อกำหนดการแบ่งรายได้ให้สอดคล้องกับคุณค่าของแต่ละฝ่าย
กลยุทธ์การตลาดร่วม (Co-Marketing) เพื่อขยายฐานลูกค้า
การแบ่งปันฐานข้อมูลลูกค้า
ตัวอย่าง: Siam Wellness Group จับมือกับโรงแรมในกรุงเทพฯ เปิดตัวโปรแกรม Bangkok Wellness Rewards เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิพิเศษจากหลายแบรนด์
การจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย
ตัวอย่าง: Four Seasons Resort Koh Samui ร่วมกับสายการบิน Bangkok Airways จัดแพ็คเกจ Wellness Escape เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวสุขภาพจากต่างประเทศ
การพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่ครอบคลุม
ตัวอย่าง: BDMS Wellness Corridor เชื่อมโยงโรงพยาบาลระดับโลก ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ และรีสอร์ทเพื่อสุขภาพในกรุงเทพฯ สร้างโซลูชันครบวงจรสำหรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรวมบริการสุขภาพ
ตัวอย่าง: Thailand Wellness Platform ของ ททท. เชื่อมโยงบริการด้านสุขภาพ การจองแพ็คเกจ และสะสมแต้มในที่เดียว เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้า
การใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงการบริการในธุรกิจ Wellness
ในยุคดิจิทัล การนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ Wellness เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ลดต้นทุน และมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า
การใช้ระบบสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการลูกค้า (CRM)
ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดเก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรม และนำเสนอโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น สปาเพื่อสุขภาพที่ใช้ระบบ CRM ในการบันทึกข้อมูลลูกค้าเกี่ยวกับบริการที่เคยใช้ เพื่อเสนอแพ็กเกจที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น
AI และ Big Data สำหรับการวิเคราะห์และปรับแต่งบริการ
การใช้ AI และ Big Data ในการวิเคราะห์แนวโน้มด้านสุขภาพสามารถช่วยให้ธุรกิจ Wellness ปรับปรุงบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น เช่น แอปพลิเคชันฟิตเนสที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลการออกกำลังกายและให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงแก่ผู้ใช้
แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการจองบริการและให้คำปรึกษา
ระบบจองออนไลน์และการให้คำปรึกษาทางไกลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Telehealth และ Virtual Coaching ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้สะดวกขึ้น ตัวอย่างเช่น คลินิกสุขภาพที่ใช้แอปพลิเคชันเพื่อนัดหมายและให้คำปรึกษาด้านโภชนาการทางออนไลน์
การสร้างวัฒนธรรมสุขภาพ (Wellness Culture) ภายในองค์กร/ธุรกิจ
องค์กร หรือธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมสุขภาพจะช่วยเพิ่มความสุขในการทำงาน ลดความเครียด และเสริมสร้างความภักดีของพนักงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจ Wellness ในระยะยาว โดยแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้ ดังนี้
การส่งเสริมสุขภาพทางกาย
จัดโปรแกรมส่งเสริมการออกกำลังกาย เช่น ฟิตเนสในที่ทำงาน หรือกิจกรรมเดินเพื่อสุขภาพ
มีมุมอาหารสุขภาพหรือจัดเตรียมตัวเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้กับพนักงาน
การดูแลสุขภาพทางอารมณ์และจิตใจ
จัดโปรแกรมฝึกสติ (Mindfulness) และโยคะเพื่อช่วยลดความเครียด
ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิต เช่น บริการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา
การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ
ออกแบบสถานที่ทำงานให้มีบรรยากาศผ่อนคลาย เช่น การใช้แสงธรรมชาติหรือมีพื้นที่สีเขียว
สนับสนุนการทำงานแบบ Hybrid หรือ Work-Life Balance เพื่อลดความเหนื่อยล้าของพนักงาน
ตัวอย่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จ เช่น บริษัทที่จัดโครงการ “Wellness Wednesday” โดยให้พนักงานมีวันทำงานที่เบาลง หรือให้เวลาในการออกกำลังกายช่วงกลางวัน ส่งผลให้พนักงานมีพลังงานมากขึ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปกลยุทธ์สำคัญสำหรับผู้ประกอบการด้าน Wellness
ผู้ประกอบการด้าน Wellness ควรเริ่มต้นที่การสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เป็นการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีแนวคิดสอดคล้องกัน จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจ และขยายโอกาสการเติบโตของธุรกิจแบบ Win-Win แน่นอนที่สุด การยกระดับ Customer Experience ด้วยการสร้างความแตกต่างด้วยบริการที่เป็นเลิศ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างแท้จริง ต่อมาใช้หลักกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกัน โดยมุ่งเน้นการสื่อสารแบรนด์ต้องชัดเจนและตรงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ที่สำคัญที่สุด สามารถผสานเทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้น ท้ายสุด นั่นก็คือ ร่วมสร้างวัฒนธรรมสุขภาพที่ดีภายในองค์กร ธุรกิจที่มีพนักงานสุขภาพดีและมีความสุข ย่อมส่งผลต่อการให้บริการที่มีคุณภาพเช่นกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการที่สามารถนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถต่อยอดธุรกิจ Wellness ให้เติบโต แข็งแกร่ง และยั่งยืนในระยะยาว
Love and Share…..Beauty Town
อ้างอิง:
https://www.thebusinessresearchcompany.com/report/wellness-tourism-market
https://hospitalityinsights.ehl.edu/wellness-travel-market