จากการรายงานล่าสุด ปี 2568 อุตสาหกรรม Wellness ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท หรือ 40.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 7–10% การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแพทย์เชิงป้องกัน และการสนับสนุนจากภาครัฐในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง Wellness ระดับโลก ในส่วนของตลาด Wellness เชิงองค์กร (Corporate Wellness) คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 111.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 และเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.21% ไปจนถึงปี 2573 ซึ่งเป็นบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุด
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.knowledge-sourcing.com/report/thailand-corporate-wellness-market
ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูง ผู้ประกอบการ Wellness หลายคนอาจมองว่าคู่แข่งคือ ศัตรู ที่ต้องเอาชนะ แต่ในความจริงแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในสาย Welless ไม่ว่าจะเป็น สปา ฟิตเนส อาหารสุขภาพ หรือแม้แต่คลินิกความงาม สามารถเปลี่ยนจากคู่แข่งมาเป็นพันธมิตร ที่ช่วยเสริมศักยภาพและขยายฐานลูกค้าให้กันและกันได้ ดังนั้น จึงเกิดการสร้างความร่วมมือแบบ Win-Win Collaboration ไม่เพียงลดความตึงเครียด จากการแข่งขัน แต่ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน แล้วจะเริ่มต้นอย่างไร? มาดูกลยุทธ์เปลี่ยนคู่แข่งให้เป็นพันธมิตรในธุรกิจ Wellness กัน
กลยุทธ์ Coopetition (Collaboration + Competition) มาใช้ในธุรกิจ Wellness ของไทย
Coopetition หรือ ความร่วมมือระหว่างคู่แข่ง เป็นแนวคิดที่ผสมผสานระหว่างการร่วมมือ (Cooperation) และการแข่งขัน (Competition) โดยมุ่งเน้นให้ธุรกิจที่ดูเหมือนจะเป็นคู่แข่งกันหันมาร่วมมือกันในบางด้าน เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแต่ละฝ่ายในตลาดที่มีการแข่งขันสูง จากความสำคัญของ Coopetition ในตลาด Wellness ไทย เริ่มต้นจากแนวคิด Coopetition หรือ การร่วมมือระหว่างคู่แข่ง กำลังได้รับความสนใจในอุตสาหกรรม Wellness โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) การร่วมมือกันช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งปันทรัพยากร ลดต้นทุนการตลาด และขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ตัวอย่างเช่น การร่วมมือระหว่าง คลินิกสุขภาพ โรงแรม และผู้ให้บริการท่องเที่ยว เพื่อสร้างแพ็กเกจ Wellness Tourism ที่ครอบคลุมและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น แนวคิด Coopetition หรือ ความร่วมมือเชิงแข่งขัน (Cooperation + Competition) กำลังกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ผู้ประกอบการธุรกิจ Wellness โดยเฉพาะ SME ไทย ควรให้ความสนใจในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น และการแข่งขันในตลาดก็ทวีความรุนแรงขึ้นตามไปด้วย กลยุทธ์นี้ไม่ได้มุ่งลดการแข่งขันโดยตรง แต่เป็นการพลิกมุมมองจากการมองคู่แข่งเป็นศัตรู มาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถร่วมกันสร้างคุณค่าใหม่ให้กับลูกค้าและตลาดได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีแนวคิดหลักๆ สามารถสรุปได้ ดังนี้
การสร้าง Ecosystem ขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
ธุรกิจ Wellness อย่างร้านโยคะ ร้านสมุนไพร สปา และนวดแผนไทย แม้จะมีบริการแตกต่างกัน แต่ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้า หากแต่ละร้านรวมตัวกันเป็นกลุ่มเครือข่ายหรือ Ecosystem ขนาดเล็ก ก็สามารถสร้างความหลากหลายในการให้บริการ และสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมได้มากยิ่งขึ้น จะเห็นได้จาก ตัวอย่างความร่วมมือ เช่น การจัดทำ บัตรสมาชิกร่วม ที่ให้ลูกค้าสามารถใช้สิทธิพิเศษข้ามร้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการนวดแล้วต่อด้วยการเข้าคลาสโยคะ หรือซื้อชาสมุนไพรลดราคาหลังนวดเสร็จ นอกจากนี้ยังสามารถจัดกิจกรรมสุขภาพแบบครบวงจร เช่น Wellness Day, เวิร์กชอปสมาธิ, หรือกิจกรรม Detox โดยร่วมกันวางแผน จัดสรรทรัพยากร และทำการตลาดร่วมกัน ที่สำคัญคือการ แบ่งปันฐานข้อมูลลูกค้า โดยต้องได้รับความยินยอมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย (PDPA) เพื่อให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรม และเสนอแพ็กเกจหรือบริการที่ตรงใจยิ่งขึ้น
Co-Branding เพื่อสร้างคุณค่าใหม่
อีกหนึ่งแนวทางที่ SME Wellness ไทยสามารถทำได้คือ การพัฒนา ผลิตภัณฑ์หรือบริการร่วม (Co-Branding) เช่น การพัฒนาชาสมุนไพร Detox โดยใช้สูตรจากร้านสมุนไพร ร่วมกับการจัดเซ็ตคู่กับบริการโยคะหรือการนวด เป็นแพ็กเกจสุขภาพแบบครบวงจร นอกจากจะเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการแล้ว ยังช่วยเพิ่มจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ผ่านการนำเสนอจุดแข็งของกันและกันให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ
Collaboration ผ่านช่องทางดิจิทัล
ยุคดิจิทัลเปิดโอกาสให้ความร่วมมือของ SME Wellness ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน LINE OA ร่วมกัน การบริหารระบบสมาชิกด้วย CRM ระบบเดียว หรือการสร้าง คอนเทนต์ร่วม เช่น คลิปแนะนำเทคนิคดูแลสุขภาพ Live พูดคุยเรื่อง Wellness หรือแม้แต่คอร์สออนไลน์ระหว่างร้านโยคะกับนักสมุนไพร ทั้งหมดนี้ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นโดยไม่ต้องใช้งบโฆษณาสูง แน่นอนที่สุด อนาคตของ Coopetition จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธุรกิจขนาดเล็ก หรือในกลุ่มเดียวกัน แต่จะขยายไปสู่การเกิดขึ้นของ Wellness Hub ที่รวมบริการหลากหลาย เช่น โยคะ ฟิตเนส อาหารสุขภาพ สปา และแม้แต่บริการทางการแพทย์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ครบวงจรในที่เดียว นอกจากนี้ ความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมก็จะมีบทบาทมากขึ้น เช่น โรงพยาบาลร่วมกับคลินิกความงาม หรือสถานเสริมสุขภาพ จัดแพ็กเกจฟื้นฟูสุขภาพหลังการรักษา หรือก่อนทำศัลยกรรม อีกทั้งยังมีการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าร่วมกัน เพื่อคาดการณ์ความต้องการ และออกแบบข้อเสนอแบบ Personalized ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและตรงใจลูกค้ามากที่สุด
ตัวอย่าง Coopetition ในตลาด Wellness ไทย
- อาหารสุขภาพ X ฟิตเนส ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์อาหารคลีนร่วมมือกับฟิตเนส นำเมนูสุขภาพเข้า
แอปพลิเคชันของฟิตเนส สมาชิกที่ซื้อแพ็กเกจระยะยาวจะได้รับส่วนลดอาหาร ผลลัพธ์คือยอดขายและอัตราต่อสมาชิกเพิ่มขึ้นทั้งสองฝ่าย
- สปา X คลินิกความงาม การออกแพ็กเกจร่วม เช่น คอร์สเลเซอร์กับทรีตเมนต์ดีท็อกซ์ พร้อมโปรโม
ชั่นราคาพิเศษ ส่งผลให้ยอดขายและลูกค้าใหม่ของทั้งสองธุรกิจเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
- Co-Branding แบบไทย ตัวอย่างเช่น คาเฟ่อาหารสุขภาพจับมือกับแบรนด์สมุนไพรไทย ออก
ผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรแบรนด์ร่วม ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายใหม่
- Digital Collaboration การสร้างคอนเทนต์ร่วมระหว่างแบรนด์วิตามินกับ Influencer ฟิตเนสบนโซเชียลมีเดีย ช่วยขยายการเข้าถึงและเพิ่มยอดขายออนไลน์อย่างรวดเร็ว
จะเห็นได้ว่า Coopetition ไม่ใช่แค่การจับมือ แต่เป็นการเติบโตไปด้วยกัน สำหรับ SME ในธุรกิจ Wellness ไทย แต่ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจและทรงพลัง ในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สร้างความยั่งยืน และขยายตลาดในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่ชาญฉลาด มีเป้าหมายร่วมกัน และใช้เครื่องมือดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ธุรกิจไทยพร้อมแข่งขันในระดับสากลและยืนหยัดในตลาดสุขภาพได้อย่างแข็งแกร่ง
กลยุทธ์การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับธุรกิจในวงการ Wellness ไทย
ในตลาด Wellness ของประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งและชาญฉลาดเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้าอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันสูง และผู้บริโภคต้องการบริการที่ครบวงจรและมีคุณภาพ การจับมือกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ ทั้งในด้านการตลาดและการสร้างคุณค่าให้ลูกค้า ซึ่งการเริ่มต้นสร้างสัมพันธ์กับธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ Wellness ไทย มีประเด็นหลักๆ สามารถสรุปได้ดังนี้
ระบุธุรกิจที่เสริมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ตัวอย่างการจับคู่ธุรกิจในวงการ Wellness ไทยที่ประสบความสำเร็จ เช่น อาหารเสริมสมุนไพร X สตูดิโอโยคะ แพ็กเกจ รูปแบบความร่วมมือสามารถ เสนอแพ็กเกจสุขภาพครบวงจร รวมคอร์สโยคะและชุดสมุนไพรดีท็อกซ์ กลุ่มสปาออร์แกนิก X ฟาร์มผักออร์แกนิก รูปแบบความร่วมมือสามารถ จัดทัวร์ฟาร์มพร้อมบริการสปาแบบ One Day Trip รวมถึงอุปกรณ์ฟิตเนส เทรนเนอร์ส่วนตัว รูปแบบความร่วมมือสามารถ เสนอแพ็กเกจ Personal Training พร้อมอุปกรณ์พิเศษ ตัวอย่างกรณีศึกษา แบรนด์อาหารเสริม Herbathome ร่วมกับสตูดิโอโยคะ Sukha Yoga ภายใต้โครงการ สุขภาพดีเริ่มที่ลำไส้ โดยลูกค้าที่ซื้อสมุนไพรขับพิษตั้งแต่ 3,500 บาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิ์เข้าคลาสโยคะพิเศษ 1 ครั้ง ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 45% ภายใน 2 เดือนแรก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังของการจับคู่ธุรกิจที่เสริมกันอย่างแท้จริง
เข้าถึงด้วยแนวทางแบ่งปันคุณค่าแบบไทย
การเจรจาและสร้างความสัมพันธ์ในธุรกิจ Wellness ไทยควรเน้นที่วัฒนธรรมการให้และการแบ่งปันก่อนรับ เพื่อสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือที่ยั่งยืน เทคนิคสำคัญได้แก่ เสนอพื้นที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์ฟรี หรือเชิญให้พันธมิตรมาบรรยายความรู้ด้านสุขภาพในร้านอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งใช้ภาษาธุรกิจแบบไทย รวมถึงสร้างแพ็กเกจที่จับต้องได้และวัดผลได้ เช่น แพ็กเกจ สุขภาพดี 360 องศา ที่รวมบริการนวดแผนไทยและคลินิกฝังเข็ม หรือโปรโมชั่นข้ามธุรกิจแบบ ซื้อ 1 แถม 1 ตัวอย่าง เครือข่ายร้านน้ำผลไม้ปั่น Juicy Day ร่วมกับฟิตเนส Fit First โดยลูกค้าที่ซื้อน้ำปั่นดีท็อกซ์ติดต่อกัน 7 วัน จะได้รับสิทธิ์ทดลองคลาสฟิตเนสฟรี ส่งผลให้ยอดขายของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น 30% ภายในไตรมาสแรก
ใช้ Social Media สร้าง Engagement ร่วมกันอย่างมีสไตล์ไทย
การใช้ช่องทางดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์และขยายฐานลูกค้าในยุคปัจจุบัน กลยุทธ์ที่ได้ผลในตลาด Wellness ไทย ได้แก่ ไลฟ์ร่วมกันแบบไทยๆ เช่น สปาร่วมกับหมอแผนไทยไลฟ์สดหัวข้อ “นวดรักษาโรคด้วยศาสตร์ไทย” หรือแบรนด์ชาสมุนไพรกับนักโภชนาการไลฟ์เรื่อง “ดื่มชาให้ถูกวิธี” จัดแคมเปญ Cross-Promotion เช่น การใช้แฮชแท็กเฉพาะ #สุขภาพดีเริ่มที่นี่ พร้อมจัดการแข่งขันออนไลน์ที่ต้องติดตามทั้งสองเพจ สำหรับ Content Collaboration เช่น การสร้างอินโฟกราฟิกหรือ Podcast ร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากธุรกิจต่างๆ ตัวอย่างกรณีศึกษา คือ แบรนด์อุปกรณ์โยคะ “Thai Yoga Mat” ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ฟิตเนส “ครูเงาะ” สร้าง Challenge บน TikTok ชื่อ โยคะไทยสไตล์เรา ซึ่งกลายเป็นคลิปไวรัลที่มียอดวิวเกิน 2 ล้านครั้ง และเพิ่มผู้ติดตามทั้งสองฝ่ายกว่า 50% มากกว่านั้น ความสัมพันธ์ส่วนตัวนั้น สำคัญธุรกิจในไทยมักเริ่มต้นจากความไว้วางใจและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้นก่อนการเจรจาธุรกิจ เห็นประโยชน์ร่วมชัดเจน ทั้งนี้การออกแบบโปรโมชั่น หรือแพ็กเกจต้องสามารถวัดผลและสร้างคุณค่าให้ทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียม ใช้ความเป็นไทยเป็นจุดแข็ง นำเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทย มาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์และความร่วมมือ เพื่อสร้างความแตกต่างและความน่าสนใจ
ในวงการ Wellness ไทย การสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และยั่งยืนต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะการเข้าใจวัฒนธรรมธุรกิจแบบไทยๆ ที่เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวและการแบ่งปันคุณค่าอย่างแท้จริง การเลือกพันธมิตรที่เสริมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมใช้ช่องทางดิจิทัลสร้าง Engagement ร่วมกัน จะช่วยให้ธุรกิจ Wellness เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์การศึกษา Best Practices ตัวอย่างความสำเร็จจากธุรกิจ Wellness ไทย
การนำแนวคิด Coopetition มาใช้ในธุรกิจ Wellness ของไทยกำลังสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะการผสานจุดแข็งของแต่ละธุรกิจเพื่อสร้างประสบการณ์สุขภาพแบบครบวงจร กรณีศึกษาต่อไปนี้เป็นต้นแบบที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ในยุคที่สุขภาพกลายเป็นไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล โมเดลความร่วมมือในธุรกิจ Wellness จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างคุณค่าใหม่ให้กับผู้บริโภค และเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างความสำเร็จจาก 3 โมเดล ที่หลากหลายนี้สะท้อนให้เห็นว่า หากเลือกพันธมิตรที่เหมาะสม ออกแบบประสบการณ์ลูกค้าแบบ End-to-End และใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ย่อมสามารถสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมได้
ตัวอย่างโมเดล เรียนรู้จากความสำเร็จ Best Practices ของ Coopetition ในธุรกิจ Wellness ไทย
ฟิตเนสพรีเมียม x อาหารคลีน FIT & FOOD 360°
ความร่วมมือระหว่าง Virgin Active สาขาเอ็มควอเทียร์ กับบริการส่งอาหารคลีน Eat Well Being เป็นตัวอย่างของการจับมือระหว่างสองธุรกิจที่เน้นคุณภาพระดับสูง โดยออกแพ็กเกจ “FIT & FOOD 360°” ที่สมาชิกฟิตเนสจะได้รับอาหารคลีนฟรี 30 วัน ส่วนลูกค้าอาหารคลีนได้รับส่วนลดฟิตเนสถึง 20% สิ่งที่ทำให้โมเดลนี้โดดเด่น คือ การเชื่อมระบบแอปพลิเคชัน ของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์และแนะนำแผนสุขภาพเฉพาะบุคคล ส่งผลให้ยอดสมาชิกใหม่ของ Virgin Active เพิ่มขึ้นถึง 42% และอัตราการต่ออายุสมาชิกเพิ่มจาก 65% เป็น 82% ในขณะที่ Eat Well Being มียอดสั่งซื้อเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว
ความงามระดับโลก x สปาหรู Glow From Within
เมื่อ Banyan Tree Spa จับมือกับ Bangkok Aesthetic Center คลินิกความงามที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน JCI เกิดเป็นแพ็กเกจ “Glow From Within” ที่รวมบริการเลเซอร์ผิว + สปาทองคำ พร้อมที่ปรึกษาสุขภาพส่วนตัว และระบบสะสมแต้มร่วม จุดแข็งของโมเดลนี้คือการออกแบบ Customer Journey ที่ไร้รอยต่อ จากคลินิกสู่สปา สร้างประสบการณ์พรีเมียมที่มีมูลค่าและความต่อเนื่องสูง ส่งผลให้ยอดขายรวมกว่า 28 ล้านบาทใน 8 เดือน และช่วยเพิ่มลูกค้าใหม่ถึง 60% ให้กับทั้งสองธุรกิจ
SME ไทยสร้างสรรค์ 21 วันเปลี่ยนชีวิต
โมเดลนี้แสดงให้เห็นว่า Coopetition ไม่จำเป็นต้องมีทุนสูงหรือแบรนด์ใหญ่เสมอไป การร่วมมือระหว่าง FitJun ผู้ผลิตอุปกรณ์ฟิตเนส และ Sabaijai Cafe คาเฟ่อาหารสุขภาพ เกิดเป็นโปรแกรม 21 วันเปลี่ยนชีวิตที่ให้ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรมฟิตเนส + รับประทานเมนูสุขภาพ + เข้าร่วม Healthy Market Weekend เพื่อสร้างคอมมูนิตี้สุขภาพ แม้จะเป็นธุรกิจ SME แต่การใช้ LINE OA เป็นช่องทางแนะนำเฉพาะบุคคล และติดตามผลอย่างใกล้ชิด ทำให้ FitJun เพิ่มยอดขายถึง 300% ขณะที่ Sabaijai Cafe มีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นเป็น สองเท่า จากการศึกษาบทเรียนจากโมเดล Coopetition ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย เผยให้เห็นปัจจัยหลัก 4 ประการ ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
- เลือกพันธมิตรที่สอดคล้องกับแบรนด์
การเลือกพาร์ทเนอร์ที่มีคุณภาพและแนวทางดำเนินธุรกิจในระดับเดียวกัน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของความร่วมมือ เช่น ฟิตเนสระดับพรีเมียมควรจับมือกับบริการอาหารคลีนเกรดพรีเมียม หรือคลินิกความงามที่ผ่านมาตรฐานระดับสากล สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความสอดคล้องและเชื่อถือได้ของประสบการณ์โดยรวม
- ออกแบบประสบการณ์แบบ End-to-End
การให้บริการแบบแยกส่วน อาจไม่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้เท่ากับการออกแบบ Customer Experience แบบครบวงจร ตัวอย่างเช่น การสร้างแพ็กเกจสุขภาพที่รวมบริการตรวจสุขภาพ การวางแผนโภชนาการ โปรแกรมฟิตเนส และกิจกรรมฟื้นฟูหรือพักผ่อนในรูปแบบที่เชื่อมโยงกัน จะช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ลื่นไหล มีความพิเศษ และมีแนวโน้มกลับมาใช้บริการซ้ำสูง
- ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน
เทคโนโลยีกลายเป็นหัวใจสำคัญของ Wellness ยุคใหม่ การเชื่อมต่อแอปพลิเคชันระหว่างพาร์ทเนอร์ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้สามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI หรือ DNA-Based Nutrition และ Microbiome Analysis ยังช่วยยกระดับความเฉพาะตัวของบริการ และสร้างคุณค่าที่แตกต่างอย่างแท้จริง
- สร้างการตลาดผ่านเรื่องราวที่เข้าถึงใจ
Content Marketing คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเชื่อมโยงธุรกิจ Wellness กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของโปรแกรมสุขภาพ เช่น 21 วันเปลี่ยนชีวิต หรือการจัดไลฟ์สดให้ความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และสร้างสายสัมพันธ์ระยะยาวอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ค้นหาเคล็ดลับรักษาความสัมพันธ์พันธมิตร Wellness ให้ยั่งยืน
ในยุคปัจจุบันนี้ การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของความร่วมมือทางธุรกิจอีกต่อไป แต่กลายเป็นการสร้างระบบนิเวศแห่งคุณค่า ที่เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยี ข้อมูล และจิตวิญญาณของความร่วมมือแบบไทยๆ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถยกระดับความสัมพันธ์พันธมิตรในธุรกิจ Wellness ให้ยั่งยืน และขยายศักยภาพการเติบโตในโลกดิจิทัลของไทยได้ ดังนี้
- สื่อสารแบบบูรณาการด้วยระบบดิจิทัล
การสื่อสารในยุคนี้ต้องรวดเร็ว โปร่งใส และสามารถทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ธุรกิจ Wellness ที่ล้ำหน้าเริ่มหันมาใช้แพลตฟอร์มเฉพาะทาง เช่น Wellness Partner Hub ที่ช่วยบริหารจัดการแผนงานร่วมระหว่างแบรนด์ และ AI Co-Pilot ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าร่วมกันเพื่อปรับแผนการตลาดอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด ตัวอย่างกรณีศึกษา Smoothie Blues จับมือกับ We Fitness ใช้ LINE OA ร่วมกันพัฒนาแชตบอทที่ตอบคำถามด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย พร้อมส่งรายงานผลสุขภาพลูกค้าแบบอัตโนมัติ ส่งผลให้อัตราการต่อสมาชิกเพิ่มจาก 70% เป็น 89% ภายในปีเดียว
- วัดผลด้วยเมตริกใหม่ที่ล้ำสมัย
KPI ดั้งเดิมอย่างยอดขายหรือจำนวนลูกค้าอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ความร่วมมือเชิงคุณค่าต้องวัดผลลัพธ์เชิงประสบการณ์และการใช้บริการร่วมกัน เช่น Experience Satisfaction Score (XSS): วัดความพึงพอใจโดยรวมต่อประสบการณ์ครบวงจร เช่น แพ็กเกจ Divana Spa x Dermaster Clinic ได้ XSS สูงถึง 4.8/5 สำหรับ Cross-Engagement Rate: วัดอัตราที่ลูกค้าใช้บริการของทั้งสองแบรนด์ เช่น Absolute You x Innergy ทำได้ถึง 63% และ
Lifetime Value Synergy (LTVS): วัดมูลค่าตลอดอายุการใช้บริการร่วม เช่น Muscle Factory x Fitwhey พบ LTVS เพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า
- แบ่งปันเครดิตและผลประโยชน์ด้วย Web3.0
เทคโนโลยี Web3.0 เปิดประตูสู่การแบ่งปันผลลัพธ์แบบกระจายศูนย์ และโปร่งใสมากขึ้น เช่น การออก NFT Badges ให้กับลูกค้าที่ใช้บริการครบทุกแบรนด์ในเครือ เพื่อสร้างความภักดี และการใช้ Social Token Economy ที่ให้ลูกค้าแลกสิทธิประโยชน์ข้ามแบรนด์ ตัวอย่างกรณีศึกษา Asava Spa x Apex Profound ออก NFT Skin Wellness Collector เป็นของสะสมให้ลูกค้า VIP เป็นผลให้เครือข่าย Wellness Web3 Alliance มีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นถึง 40%
- จัดการข้อมูลอย่างปลอดภัยและมีจริยธรรม
ความไว้วางใจคือพื้นฐานของความร่วมมือในธุรกิจสุขภาพ การแบ่งปันข้อมูลลูกค้าร่วมต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและกฎหมายคุ้มครองข้อมูล เช่น การใช้ Zero-Knowledge Proof เพื่อแบ่งปันข้อมูลโดยไม่เปิดเผยตัวตน และการสร้าง Data Trust Framework ที่พันธมิตรตกลงร่วมกันอย่างชัดเจน ตัวอย่างกรณีศึกษา ร้านยาแผนไทยร่วมกับคลินิกฝังเข็ม ใช้ระบบเข้ารหัสข้อมูลสุขภาพในการวางแผนฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม โดยไม่มีการระบุตัวตนลูกค้าแต่ยังคงให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลได้
- ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมใน Sandbox
นอกจากการทำงานร่วมกันในเชิงปฏิบัติ การทดลอง สร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกันในรูปแบบ Innovation Sandbox ช่วยเร่งการพัฒนานวัตกรรมได้อย่างมาก ตัวอย่างกรณีศึกษา โรงพยาบาลกรุงเทพร่วมกับ Ooca (แพลตฟอร์ม Telehealth) ทดลองโปรแกรม Digital Detox & Mental Reset ภายใต้ Sandbox Health Lab ซึ่งเป็นผลทำให้ลดเวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จาก 6 เดือน เหลือเพียง 2 เดือน และสามารถเปิดตัวนวัตกรรมสุขภาพใหม่ได้ถึง 3 รายการภายในปีแรก
จะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์พันธมิตรในยุค 2025 ไม่ใช่เรื่องของข้อตกลง แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่เกื้อกูลกันอย่างลึกซึ้ง ผู้ประกอบการ Wellness ที่ปรับตัวทันยุค ด้วยแนวคิด ดิจิทัลคอลแลบอเรชัน (Digital Collaboration) จะสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยไม่ทิ้งคุณค่าความเป็นไทยที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และการเกื้อกูลระหว่างคนด้วย
กลยุทธ์เปลี่ยนการแข่งขันเป็นโอกาส
Collaboration คือคำตอบของธุรกิจ Wellness ไทยในปี 2025 ในปี 2025 นี้ โลกธุรกิจ Wellness ในประเทศไทยกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดยุคหนึ่ง การเปลี่ยนจากการแข่งขันอย่างโดดเดี่ยว สู่การร่วมมืออย่างมีกลยุทธ์ การมองคู่แข่งเป็นพันธมิตรไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป แต่เป็นแนวทางปฏิบัติจริงที่สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งในด้านการตลาด การลดต้นทุน และการเข้าถึงนวัตกรรม อาจกล่าวได้ว่า Collaboration หรือความร่วมมือกลายเป็นหัวใจของการเติบโตอย่างยั่งยืนในธุรกิจ Wellness ที่ผู้ประกอบการไทยไม่ควรมองข้าม
ทำไม Collaboration จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในปี 2025?
- ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการประสบการณ์ไร้รอยต่อ (Seamless Experience) มากถึง 67% ของผู้บริโภคไทยแสดงความพร้อมที่จะจ่ายมากขึ้น หากได้รับแพ็กเกจสุขภาพที่บูรณาการทุกมิติของการดูแลตนเอง เช่น ฟิตเนส อาหารเพื่อสุขภาพ บริการทางการแพทย์ และการดูแลจิตใจในที่เดียวกัน ความร่วมมือระหว่างธุรกิจจึงเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างประสบการณ์แบบนี้ได้อย่างครบวงจร
- ลดต้นทุนในการเข้าถึงลูกค้า (Customer Acquisition Cost)
ในยุคที่ต้นทุนโฆษณาและการตลาดออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ความร่วมมือสามารถลดต้นทุน CAC ได้ถึง 40% ผ่านการแชร์ฐานลูกค้าและช่องทางการสื่อสารร่วมกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม Conversion จากกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มใช้บริการมากกว่าเดิม - แบ่งปันทรัพยากรในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ความร่วมมือในรูปแบบ Shared Economy เช่น การใช้พื้นที่ร่วมกัน ระบบ IT กลาง หรือแม้แต่บุคลากรร่วมกัน ช่วยลดต้นทุนคงที่โดยไม่กระทบคุณภาพบริการ ทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน - เร่งการพัฒนานวัตกรรมให้เร็วขึ้น
กลุ่ม สตาร์ทอัพด้านสุขภาพ ที่มีพันธมิตรสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้นถึง 2 เท่า จากการแลกเปลี่ยนข้อมูล วิจัยร่วม และทดสอบตลาดในเวลาเดียวกัน นี่คือทางลัดสู่ First Mover Advantage ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว - เปิดประตูสู่ตลาดต่างประเทศ
ความร่วมมือข้ามชาติ เช่น แบรนด์สมุนไพรไทยที่จับมือกับแพลตฟอร์ม Wellness จากเกาหลีใต้ ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวสู่ตลาดเอเชียได้ง่ายขึ้น ด้วยการแบ่งปันทรัพยากร โลจิสติกส์ และฐานลูกค้าร่วมกัน
ตัวอย่าง Collaboration ที่สร้างแรงกระเพื่อมในธุรกิจ Wellness ไทย
- สุขภาพครบวงจรในคอนโดมิเนียม
ความร่วมมือระหว่าง AP Wellness Residence, Rakluke Clinic และ Fit TECH ได้สร้างระบบ Health Credit ที่ให้ลูกค้าสามารถใช้บริการทั้งหมดได้ภายใต้แพลตฟอร์มเดียว พร้อมใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพแบบศูนย์กลาง ทำให้การใช้บริการเพิ่มขึ้น 200% ภายใน 6 เดือน และโครงการได้รับรางวัล ASEAN Wellness Real Estate 2025
- แพลตฟอร์ม Subscription สุขภาพแบบครบวงจร
Doctor Anywhere จับมือกับ Sukishi และ Mindspace เปิดบริการสมาชิกรายเดือน 1,500 บาท ให้สิทธิ์เข้าพบแพทย์ออนไลน์ รับอาหารสุขภาพ และใช้งานแอปฝึกสมาธิในแพ็กเกจเดียว ทำให้ได้สมาชิกเกิน 50,000 คนในปีแรก และลดอัตราการยกเลิกสมาชิกลงจาก 25% เหลือเพียง 8%
- เทรนด์ Collaboration แห่งอนาคต ตัวอย่างเช่น Virtual Wellness Center ที่ผู้ใช้สามารถปรึกษาแพทย์ผ่าน Avatar เข้าร่วมคลาสโยคะกับ Influencer ระดับโลก หรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ความงามแบบ 3D ได้จากที่บ้าน
ดังนั้น ขั้นตอนสู่การ Collaboration อย่างยั่งยืน เริ่มจากหาพันธมิตรที่มีเป้าหมายและคุณค่าเดียวกัน ใช้แพลตฟอร์ม Wellness Match Thailand เพื่อจับคู่ทางธุรกิจ พร้อมประเมินความเหมาะสมผ่าน Collaboration Compatibility Index ต่อมาออกแบบโมเดลรายได้ร่วมอย่างยุติธรรม ใช้ AI ช่วยคำนวณส่วนแบ่งรายได้ตามการใช้งานจริง เพื่อความโปร่งใสและความพึงพอใจของทุกฝ่าย จากนั้นสร้างระบบดิจิทัลร่วมกัน พัฒนา Wellness API Platform ที่สามารถเชื่อมข้อมูลสมาชิกและสุขภาพข้ามแบรนด์ และใช้ Digital Twin เพื่อออกแบบบริการแบบ Personalization ที่สำคัญที่สุด ต้องมีการวัดผลด้วย KPI ยุคใหม่ เช่น Collaboration Health Score (CHS) ที่วัดจากอัตราการใช้บริการร่วมกัน ความพึงพอใจของลูกค้า และรายได้ที่เกิดจากการร่วมมือ
อาจกล่าวได้ว่า ธุรกิจ Wellness ไทยในปี 2025 ต้องกล้าเปลี่ยนมุมมองจากคู่แข่ง เป็นครือข่ายพันธมิตร ที่มีเป้าหมายร่วมกัน ความสำเร็จในยุคนี้ไม่ได้วัดจากขนาดของธุรกิจ แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเชื่อมโยงจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน ผ่านเทคโนโลยี ข้อมูล และความเชื่อใจ เริ่มวันนี้ด้วยการหาพันธมิตรที่ใช่ ออกแบบโมเดลที่ลงตัว และร่วมกันสร้าง Wellness Ecosystem แห่งอนาคต ที่ไม่เพียงแค่เติบโต แต่เติบโตไปด้วยกัน ในปี 2025 และในอนาคต ธุรกิจ Wellness ที่จะอยู่รอดต้องเปลี่ยนจากคู่แข่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมและออกแบบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ เริ่มต้นวันนี้ด้วยการมองหาพันธมิตรที่เสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน เพื่อสร้าง Wellness Ecosystem แห่งอนาคต
Love and Share…..Beauty Town
อ้างอิง
- Thailand Corporate Wellness Market https://www.knowledge-sourcing.com/report/thailand-corporate-wellness-market
-
งานสัมมนา Health-Tech Synergy 2025 โดย DEPA https://www.depa.or.th/en/article-view/20250326_01
-
รายงานตลาด Wellness แห่งอนาคตโดย SCB Economic Intelligence Center https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/protect-my-family/wellness
-
รายงาน Future of Wellness Partnerships 2025 โดย Deloitte Thailand
https://www.deloitte.com/southeast-asia/en/our-thinking/deloitte-thailand-insights-th.html -
ข้อมูลจากงาน Health Tech Summit 2024 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ https://techsauce.co/news/11-stages-techsauce-global-summit-2024